8 เสาหลักของ Zero Trust กลยุทธ์ที่ CIO ต้องรู้ ManageEngine Thailand

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา องค์กรไทยเผชิญกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ซับซ้อนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้ง แรนซัมแวร์ (Ransomware) ที่มุ่งเป้าโจมตีอุตสาหกรรมสำคัญ การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลที่อาจนำไปสู่ ค่าปรับตามกฎหมาย PDPA หรือแม้แต่ การโจมตีจากบุคคลภายใน (Insider Threats) เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้องค์กรต้องกลับมาทบทวนกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยอย่างจริงจัง

Zero Trust Security จึงไม่ใช่เพียง “เทรนด์” อีกต่อไป แต่เป็น ยุทธศาสตร์สำคัญของผู้บริหารด้านไอที (CIO และ Head of IT) แนวคิดนี้ไม่อิงกับระบบป้องกันรอบนอก (Perimeter Security) แบบเดิม แต่ตั้งอยู่บนหลักการ “ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ (Never Trust) และตรวจสอบทุกครั้ง (Always Verify)”

บทความนี้เจาะลึก 8 เสาหลักของ Zero Trust พร้อมแนวทางปฏิบัติที่องค์กรไทยสามารถนำไปใช้เพื่อลดความเสี่ยง เพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างผลตอบแทนต่อการลงทุน (ROI) ที่วัดผลได้จริง

Zero Trust: จากค่าใช้จ่าย สู่เครื่องมือจัดการความเสี่ยงและสร้างคุณค่าทางธุรกิจ

สำหรับผู้บริหารด้านไอที การลงทุนด้านความปลอดภัยไซเบอร์มักถูกตั้งคำถามเรื่องความคุ้มค่า แต่ประสบการณ์จากองค์กรที่นำ Zero Trust ไปใช้จริงแสดงให้เห็นว่า การป้องกันเชิงรุกช่วยลดความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูลได้อย่างมาก และลดต้นทุนการแก้ปัญหาเหตุการณ์หลังเกิดเหตุ (Incident Response)

ทำไมการลงทุนกับ Zero Trust ถึงคุ้มค่า?

  • ลดเวลาระบบล่ม (Downtime): ตรวจจับและตอบสนองได้เร็วขึ้น ลดผลกระทบต่อรายได้และชื่อเสียง
  • รองรับการปฏิบัติตามข้อกำหนด (Compliance): โครงสร้าง Zero Trust ทำให้ผ่านมาตรฐานอย่าง PDPA และ ISO27001 ได้ง่ายขึ้น
  • สร้างความเชื่อมั่นของลูกค้า: ลูกค้าให้ความสำคัญกับองค์กรที่ดูแลข้อมูลอย่างรัดกุม
     

8 เสาหลักของ Zero Trust ที่ผู้บริหารด้านไอทีต้องให้ความสำคัญ
 

1) ความปลอดภัยของตัวตนและการควบคุมสิทธิ์ (Identity Security & Access Management)

แนวทางปฏิบัติ:

  • การยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (Multi-Factor Authentication – MFA)
  • การให้สิทธิ์แบบชั่วคราว (Just-In-Time Access)
  • ระบบจัดการวงจรบัญชีอัตโนมัติ (Account Lifecycle Automation)
     

2) ความปลอดภัยของอุปกรณ์ (Device Security)

แนวทางปฏิบัติ:

  • การจัดการแพตช์แบบเรียลไทม์ (Real-time Patch Management)
  • การตรวจสอบสถานะอุปกรณ์ (Device Posture Check) ก่อนอนุญาตให้เชื่อมต่อ
     

3) ความปลอดภัยของเครือข่ายและการแบ่งโซน (Network Security & Micro-Segmentation)

แนวทางปฏิบัติ:

  • แบ่งเครือข่ายตามความเสี่ยง
  • เฝ้าระวังทราฟฟิกแบบเรียลไทม์
     

4) ความปลอดภัยของแอปพลิเคชัน (Application Security)

แนวทางปฏิบัติ:

  • กำหนดสิทธิ์ตามบริบท (Conditional Access) เช่น บทบาทผู้ใช้ อุปกรณ์ และตำแหน่งที่ตั้ง
  • การแบ่งสิทธิ์ตามประเภทแอป (Application Segmentation)
  • การตรวจสอบเซสชัน (Session Monitoring) แบบเรียลไทม์

องค์กรไทยจำนวนมากเริ่มบูรณาการ Identity และ Privileged Access Management เพื่อตรวจสอบ Audit Log และควบคุมการเข้าถึงตามบริบทได้ง่ายขึ้น
 

5) ความปลอดภัยของข้อมูล (Data Security)

แนวทางปฏิบัติ:

  • การจำแนกประเภทข้อมูล (Data Classification)
  • การตรวจสอบไฟล์และจับพฤติกรรมเสี่ยงภายใน (File Auditing & Insider Threat Detection)
     

6) การวิเคราะห์และตรวจจับภัยคุกคาม (Security Analytics & Threat Detection)

แนวทางปฏิบัติ:

  • ใช้ ระบบจัดการบันทึกเหตุการณ์และข้อมูลความปลอดภัย (SIEM)
  • ผสานกับ การวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้ (UEBA) เพื่อตรวจจับภัยคุกคามเชิงรุก
     

7) การมองเห็นและการตรวจสอบต่อเนื่อง (Visibility & Continuous Monitoring)

แนวทางปฏิบัติ:

  • ใช้ แดชบอร์ดศูนย์รวม (Centralized Dashboard) ตรวจสอบเครือข่าย อุปกรณ์ และแอปตลอด 24/7
  • OpManager และ Log360 ช่วยให้ทีม SOC และ Network Monitoring มองเห็นทุกกิจกรรมสำคัญได้ทันที
     

8) ระบบอัตโนมัติและการประสานงาน (Automation & Orchestration)

แนวทางปฏิบัติ:

  • การตอบสนองเหตุการณ์อัตโนมัติ (Automated Incident Response Playbook)
  • หมุนเวียนรหัสผ่านบัญชีสิทธิ์พิเศษอัตโนมัติ ลด Human Error และ MTTR
     

Zero Trust: ไม่ใช่แค่กลยุทธ์ด้านความปลอดภัย แต่คือความได้เปรียบทางธุรกิจ

Zero Trust ช่วยให้องค์กร ลดความเสี่ยง ลดต้นทุน และเพิ่มความเชื่อมั่นของลูกค้า อีกทั้งการดำเนินการตามทั้ง 8 เสาหลักนี้ยังช่วย เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของทีมไอที ลดเวลาในการตอบสนองเหตุการณ์ และทำให้การตรวจสอบตามมาตรฐานต่าง ๆ เป็นเรื่องง่ายขึ้น องค์กรที่เริ่มต้นก่อนย่อมได้เปรียบทั้งในด้าน ต้นทุนและชื่อเสียงในตลาด